เครื่องปรับอากาศ

วัตถุประสงค์
1. เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม 24 - 26 c                                
  2. ควบคุมปริมาณความชื้นสัมพัทธ์ ให้อยู่ในห้องระหว่าง 50 - 55% 

     3. ฟอกอากาศหรือกรองฝุ่นละอองในอากาศ ที่อยู่โนห้องปรับอากาศ
   4. ถ่ายเทอากาศจากภายนอกห้องเข้าสู่ภายในห้องปรับอากาศ
    หน่วยวัดปริมาณความร้อนมีอยู่ 2 หน่วย
 1. บีทียู
 2.กิโลแคลอรี่

 1. บีทียู คือ ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำบริสุทธิ์หนัก 1 ปอนด์ มีอุณหภูมิเปลื่องแปลง 1 อาศาฟาเรนไซต์ ( 1 F )
 1. กิโลแคลอรี่ คือ ปริมาณความร้อนที่ให้น้ำบริสุทธิ์หนัก 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิเปลื่ยนแปลง 1 อาศาเซลเซียส ( 1 C )

ความร้อนเป็นพลังงานอย่างหนึ่งสามารถจำแนกได้ 3 ชนิด
 1. ความร้อนรู้สึก คือความร้อนที่ทำให้สสารมีอุณหภูมิเพิมขึ้น
 2. ความร้อนจำเพราะ คือ ความร้อนที่ทำให้สสารหนัก 1 หน่วย ( 1 
กก. 1 ปอนด์ ) มีอุณหภูมิเปลื่อนแปลง 1 องศาเซลเซียส
 ปริมาณความร้อนที่ใช้ไปจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของสาร
เหล็ก 1 กก. ให้อุณหภูมิ  1 ํC ใช้ความร้อน 1200 BTU
น้ำ     1 กก. ให้อุณหภูมิ  1 ํC ใช้ความร้อน 1000 BTU
ไม้     1 กก. ให้อุณหภูมิ  1 ํC ใช้ความร้อน 2000 BTU

3. ความร้อนแฝง คือ ปริมาณความร้อนที่ใช่ในการเปลื่อนสถานะของสสาร
  3.1 ของแข็ง
  3.2 ของเหลว
  3.3 ก๊าซ
     เหล็ก       เป็นของเหลว    ใช้ความร้อนแฝง
     น้ำแข็ง    เป็นน้ำ                ใช้ความร้อนแฝง  
     น้ำ           เป็นไอ                ใช้ความร้อนแฝง  
ความร้อนสามารถเคลื่อนที่ได้ 3 วิธี
 1. การนำความร้อน คือการเคลื่อนที่ของความร้อนจากวัตถุด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ( แท่งเหล็กเผาไฟ )
 2. การพาความร้อน มีตัวกลางในการพาไป เช่นของเหลวและก๊าซ
 3. การแฝรังสี ความร้อนสามารถเคลื่อนที่ได้โดยไม่มีตัวกลาง คือ การแฝรังสีของดวงอาทิตย์

หน้าที่และการทำงานของอุปกรณ์หลัก
1. คอมเพรสเซอร์ ทำหน้าที่ดูดและอัดสารทำความเย็นในระบบเครื่องทำความเย็น
2. คอมเดนเซอร์ ทำหน้าที่เปลื่ยนสถานะน้ำยาจากก๊าซให้เป็นของแหลว ด้วยการลดความร้อนแผงออก
3. วาล์วลดแรงดัน ทำหน้าที่ลดแรงดันน้ำยาจากแรง ดันสูงให้เป็นแรงดันต่ำ อีกทั้งยังควบคุมปริมาณของน้ำยาที่ไหลผ่านให้เหมาะสมกับขนาดเครื่อง
4. อีแวปปอเรเตอร์ ทำหน้าที่เปลื่ยนสถานะน้ำยาแเลวให้กลายเป็นก๊าซ ด้วยการดูดความร้อนแฝง จากภายในห้องปรับอากาศ ไปใช้ในการเปลื่ยนสถานะของน้ำยาเหลว
 คุณสมบัติน้ำยา
การเปลื่ยนน้ำยาจาก เหลวเป็นก๊าซ มีข้อดีสามารถเปลื่ยนสถานะได้ในอุณภูมิต่ำได้ (เดือดได้ที่อุณภูมิต่ำ)
    ความร้อนของคน    มีปริมาณ  600  BTU/ชม
    อุณหภูมิร่างกายของคน          37 ํC
    12,000    BTU/ชม = 1 ดัน  

พัดลม

 พัดลมเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกชนิดหนึ่งที่มีใช้งานมาก เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำมาในรูปของมอเตอร์ไฟฟ้า เมื่อยึดใบพัดติดบนแกนของมอเตอร์ สามารถพัดพาลมไปได้พัดลมมีหลายลักษณะ คือ
 1. พัดลมตั้งโต๊ะ มีขนาดใบพัด 12-16 นิ้ว
 2. พัดลมตั้งพื้น  มีขนาดใบพัด 16-36 นิ้ว (ขนาดใบพัดใหม่ๆ ใช้ในโรงงาน สถานประกอบการ ในงานของวัด)
 3. พัดลมติดผนัง มีขนาดใบพัด 16 นิ้ว
 4. พัดลมเพดาน มีขนาดใบพัด 36-56 นิ้ว
 5. พัดลมแอร์ไอน้ำ
 6. พัดลมแอร์ไอน้ำ
 ที่กล่าวมาเป็นพัดลมที่มีการเสีย และต้องซ่อมมาก และทุกบ้านมีใช้งาน
 ไฟ DC จะไหลผ่าน( ไม่ได้)
 ไฟ AC จะไหลผ่าน( ได้ )

หลักกานทำงานของพัดลม
  เมื่อเสียบปรั๊กไฟของพัดลมเข้ากับเต้าเสียบ แล้วกดสวิทช์พัดลมระดับความเร็ว ที่ 1 การไหลของไฟฟ้าเป็น ดังนี้
  1. ไฟฟ้า 200 V 50 Hz ไหลผ่านปลั๊กไฟอีกด้านหนึ่งไปที่ขา คอมมอน ( ขารวมของขดลวดรันกับขดลวดสตาร์ทของมอเตอร์ ) คือขา C
 2.  ไฟฟ้า  200 V 50 Hz  ไหลผ่านปลั๊กไฟอีกด้านหนึ่งไปที่ขั้วสวิทช์กดเพื่อเลืยกระดับของความเร็วมอเตอร์ เมื่อกดเสียบสวิทช์ที่หมายเลข 1  ไฟฟ่้าจะไหลเข้า ขดรัน R และไหลผ่านคอนเดนเซอร์เข้าขดลวดสตาร์ท S คอนเดนเซอร์ที่ต่ออยู่ที่ขดลวดสตาร์ทืทำหน้าที่ให้ใบพัดเริ่มหมุน  ( ให้แกนกลางของมอเตอร์ออกตัวตัวหมุน )
เมื่อใบพัดของพัดลมหมุน ไฟฟ้าจะไหลจากขดรันผ่านขดลวด มาครบรอบไฟฟ้ามี่ขั้วคอมมอน คือขา C  ทำให้มอเตอร์พัดลมหมุนต่อเนื่องตลอดเวลา เมื่อกดความเร็วที่ 2  และ 3 จะทำให้มอเตอร์หมุนเร็วขึ้น 
พัดแรงลมได้แรงขึ้น เนื่องจากไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดที่มีจำนวนรอบของขดลวดมาก จนกว่าจะ OFF สวิทช์ พัดลมจึงจะหยุดหมุน

 อาการเสียของพัดลมตั้งโต๊ะ  และ ติดผนัง
  1. อาการไม่หมุน เงียบ
      1.1 เช็คสายปลั๊กขาด โดยการตั้งมิเตอร์ R 1 วัดที่ขั้วปลั๊กไฟ AC แล้วกดสวิทช์พัดลม ถ้าเข็มมิเตอร์ไม่ขึ้น แสดงว่าสายปลั๊กอาจจะขาด เปิดฝาใต้พัดลม แล้ววัดเฉพาะสาย ขาดหรือไม่
      1.2 เช็คสวิทช์แตะหรอไม่
      1.3 ขดลวดพัดลม ไหม้ ขาด หรือไม่ สาเหตุขดลวดพัดลมไหม้ ขาดเกิดจากแกนหมุนฝืด บูทติดขัด
      1.4 พัดลมบางรุ่นมีรีซีสเตอร์ฟิวร์ อยู่ที่บริเวณขดลวดมอเตอร์ของพัดลม ถ้าขาด วัดขดลวดไม่ขึ้นให้ขึ้นให้สังเกตุดูว่ามีรีซีสเตอร์ฟิวร์ไม่ปกติ พัดลมมียี่ห้อ เช่น TOSHIBA SANYO PHILPS มักจะมีรีซีเตอร์ฟิวร์
    2. อาการหมุนช้า กดเลข 3 ก็หมุนช้า มีเสียงบูทฝืด
        2.1 เช็คแกนหมุนใบพัดฝืด ถอดออกมาหยอดน้ำมัน
        2.2 บูทสึก แกนสึก ทำให้หมุนช้า เวลาหมุนมีเสียงดัง ให้ถอดมาเปลื่อนบูทใหม่
    3. อาการกรหมุนปกติสักครู่ แล้วหมุนช้าลง
         3.1 เช็คแกนหมุน ฝืดหรือไม่ ถ้าฝืดทำความสะอาด
         3.2 เช็คบูทสึกหรือไม่ ถ้าสึกเปลื่อนใหม่
         3.3 ถ้าแกนหมุนปกติ บูทปกติ หมุนแกนคล่องดี สาเหตุหมุนช้าเกิดจาก ขดลวดชอร์ตรอบ ต้องพัดขดลวดใหม่
    4. อาการกดสวิทช์บางตัวไม่หมุน
        4.1 เกิดจากหน้าสัมผัสสวิทช์สกปรก ไม่แตะ
    5. อาการเปิดพัดลม ไม่หมุนมีเสียงคางแสดงว่าไฟเข้าขดลวดแล้ว
        5.1 แกนพัดลมติด ฝืด บูทสึก
        5.2 ขดลวดสตาร์ทไม่ทำงาน เกิดจาก C สตาร์ทขาด
    6. อาการมีเสียงผิดปกติ สั่น
        6.1 ใบพัดลมแตก คดงอ
        6.2 ผ่านคราบหลุด แตก ยืดไม่แน่น
    7. อาการพัดลมไม่ส่าย
        7.1 เฟียงถ่ายกำลังสึกหรอ บิ่ง
        7.2 แกนเฟืองหัก
    8. อาการคอพัดลมหัก
       8.1 พัดลมล้ม ตกหล่นจากที่สูง ให้ถอดเปลื่อนใหม่
หมายเหตุุ 1. การซื้ออะไหล่พัดลมที่ชิ้น จะต้องจดยี่ห้อ รุ่น พร้อมนำตัวอย่างไปซื้ออะไหล่ทุกครั้ง
                 2. มอเตอร์ไหม้ ชอร์ต พันใหม่ ตัวละ 80-100 บาท




หม้อหุงข้าวไฟฟ้า

หลังการทำงานของหม้อหุงข้าวไฟฟ้า 

 หลักการทำงานของหม้อหุงข้าวไฟฟ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ประกอบด้วยโครงหม้อด้านนอก ซึ่งยึดแผ่นความร้อนติดไว้ด้านล่างของโครงหม้อ จุดกึ่งกลางของแผ่นความร้อนจะมีอุปกรณ์ทรงกลมสวนอยู่ตรงกลาง อุปกรณ์ชุดนี้เป็นอุปกรณ์เพื่อใช้สำหรับตัดวงจรไฟฟ้า และจะถูกกดทับด้วยหม้นในที่ใช้หุงข้าว หม้อหุงข้าวใช้หลักการง่ายๆ  และอธิบายให้เข้าใจได้ ดังนี้
 เมื่อนำข้าวสารมาเตรียมเพื่อหุง ล้างข้าวสาร และเติมน้ำในหม้อหุง แล้วนำ ไปตั้งในโครงหม้อ หม้อในจะถูกวางบนแผ่นความร้อน โดยส่วนโค้งของก้มหม้อจะวางแนบสนิทบนแผ่นความร้อน และวางทับลงบนอุปกรณ์ตัดวงจรไฟ ภายในอุปกรณ์ตัดไฟฟ้า จะใช้หลักการยึดเกราะหน้าสัมผัสสวิทช์ไฟฟ้า ด้วยแท่งแม่เหล็ก แผ่นเล็กๆ เมื่อกดสวิทช์ของหม้อหุงข้าว คันสวิทช์จะถูกโยงไปแกนกลางของชุดตัดไฟฟ้า โดยมีแผ่นแม่เหล็กยึดอยู่ตรงกลาง และมีแผ่นเหล็กบางยึดอยู่ด้านบน เมื่อสวิทช์ถูกกด ทำให้แผ่นเหล็กถูกดูดขึ้นไปติดกับแผ่นเหล็กบาง เมื่อแผ่นแม่เหล็กคิดกับแผ่นเหล็กแล้ว ทำให้สวิทช์แตะกัน ไฟฟ้าไหลผ่านเข้าขดแผ่นความร้อน ทำให้ความร้อนเพิ่มขึ้น ข้าวเริ่มสุก น้ำก็ค่อยๆ แห้งไปจนหมด ในขณะที่น้ำแห้งจะเกิดความร้อนเพิ่มขึ้ม ข้าวเริ่มสุก น้ำก็ค่อยๆ แห้งไปจนหมด ในขณะที่น้ำแห้ง จะเกิดความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เนื่องจากไม่มีน้ำใจการระบายความร้อนแล้วความร้อนที่เพิ่มขึ้น เรื่อยๆ ไม่มีที่แผ่ไป ก็จะแผ่ไปในชุดตัดวงรจไฟฟ้า ซึ้งมีแผ่นแม่เหล็กเล็กๆ ติดอยู่ แผ่นแม่เหล็ก เมื่อได้รับความร้อนก็จะหมดอำนาจชั่วคราว ทำให้สวิทช์ถูกดีดหล่นลง โดยมีสปริงอ่อนช่วยผลักให้หล่น ทำให้หน้าสัมผัสสวิทช์จากกัน ไฟไม่สามารถไหลเข้าแผ่นความร้อน จึงสิ้นสุดการหุงข้าว พร้อมกันนี้ข้าวก็สุกพอดี

  อาการเสียหม้อหุงข้าวไฟฟ้า
1. อาการหุงข้าวไม่ได้ หลอดไฟไม่ติด หม้อไม่ร้อน
   1.1 เช็คสายไฟขาด
   1.2 สวิทช์หน้าสัมผัสไม่แดะ หม้อไม่ร้อน
   1.3 แผ่นความร้อนขาด


เครื่องซักผ้าระบบกึ่งอัตโนมัติ

 เครื่องซักผ้า เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวก ใช้ในการซักผ้า ช่วยให้ซักเสื้อผ้าได้สะดวกและเสร็จรวดเร็ว ในปัจจุบัน เครื่องซักผ้ามีทั้งทั้งระบบซักผ้าธรรมดาไม่ซับซ้อน บางรุ่นเป็นระบบ อัตโนมัติ ซักผ้าได้เร็ว และสามารถนำผ้าออกมารีดได้เลย
หลักการทำงาน 
เครื่องซักผ้ามีส่วนของการทำงาน 2 ส่วน คือ 
 1. ส่วนของมอเตอร์ซักผ้า  ( MOTOR WASH )
     ไฟฟ้าจากปลั๊กไฟ ไหลไปรอที่ขั้วสวิทช์ 13 เมื่อบิดสวิทช์ TIMER WASH ไปทางทิศทางตามเข็มนาฬิกา ทำให้หน้าหน้าสัมผัสสวิทช์ 13 แตพกัน ไฟไหลผ่าน SELECTOR 1 ซึ่งสวิทช์ SELECTOR 1
ใช้เพื่อปรับเลือกว่างจะให้ซักผ่านทางเดียวหรือ 2 ทาง ( เลือกให้มอเตอร์หมุนทางเดียว หรือมอเตอร์หมุน 2ทาง ) ถ้าเลือกปรับไปทาง
L ไฟจะไหลไปที่ T2 (สวิทช์ TIMER WASH เป็นสวิทช์ที่ใช้ระบบการทำงานแบบตั้งเวลา จะมีกลไก และเฟือง เป็นตัวทดรอบหมุน ในขณะที่เฟืองหมุน ก็จะมีกลไฟ ไปดันหน้าผัมผัสของสวิทช์ T2 และT1 ให้หน้าสัมผัสสวิทช์แตะกัน ตามช่วงเวลาที่ได้ออกแบบไว้ ขึ้นอยู่กัยยี่ห้อ และรุ่น ซึ่งจะทำงานคล้ายๆ กัน แต่รูปแบบของตัว MOTOR WASH จะมีรูปร่างต่างๆ กัน ) ถ้้ากลไกของสวิทช์ MOTOR WASH ของ T2 สวิทช์แตะทาง L  ไฟจะไหลเข้าทางมอเตอร์ที่ขา 1 ซึ่งขณะนี้ขา 1 จะกลายเป็นขารัน R และมี คอมเดนเซอร์ ต่อคร่อมไปที่ขา 2 ซึ่งที่ขา 2 จะเป็นขาสตาร์ท S ทำให้มอเตอร์ออกตัวหมุน ไฟไหลผ่านขดลวดรันครบรอบที่คอมมอนด์ C ออกทางสายปลั๊กไฟครบรอบไฟ และมอเตอร์จะหมุนซ้ายหรือหมุนขวาขึ้นอยู่กับ
สวิทช์ MOTOR WASH  หน้าสัมผัสสวิทช์จะแตะทางด้านใดและทำงานต่อเนื่องกัน จนกว่าสวิทช์ MOTOR WASH  ที่ตั้งเวลาไว้จะ OFF ทำให้ไฟหยุดไหล มอเตอร์ถังซักหยุดการทำงาน
 2.   ส่วนของมอเตอร์ปั่นแห้ง
       หากต้องการปั่นแห้งผ้าที่ซักแล้ว เมื่อไส่ผ้าลงในถังปั่นแห้งแล้วปิดฝา สวิทช์ SW1  จะแตะไฟไหลผ่านมาที่สวิทช์ SW2 เป็นสวิทช์ตั้งปั่นแห้ง (TIMER SPIN) เมื่อบินสวิทช์ทางตามเข็มนาฬิกา หน้าสัมผัสสวิทช์จะแตะ ไฟไหลเข้าขดลวดรัน R และไฟผ่านคอมเดนเชอร์ เข้าขาสตาร์ท S ทำให้มอเตอร์ออกตัวหมุนไฟไหลผ่านขดลวดรันรอบที่ขาคอททอนด์ C ทำให้มอเตอร์หมุนปั่นผ้าให้แห้งมอเตอร์จะหยุดเมื่อสวิทช์ตั้งเวลาหมุนมาอยู่ที่ตำแหน่ง OFF หรือถ้าเปิดฝาถังปั่นแห้ง
ออกสวิทช์ SW1 ก็จากออก ทำให้ไฟหยุดไหลผ่าน MOTOR SPIN 
ผลก็คือมอเตอร์ หยุดหมุน หยุดการปั่นแห้ง

อาการเสียของเครื่องซักผ้า
( 1 ) อาการมอเตอร์ถังซักไม่หมุน ถังปั่นแห้งใช้ได้ปกติ
 1.1 เช็คสายไฟขาด หนูกัดสายขาด ต่อให้ตรงสีที่ขาด
 1.2 สวิทช์ TIMER WASH เสียปกติเสียจะไม่ได้ยินเสียงเฟืองและกลไก ทำงาน หน้าสัมผัสสวิทช์ไม่แตะ ไฟไม่สามารถไหลเข้าขดลวดมอเตอร์ซักผ้าได้ ถ้าเป็นสวิทช์ TIMER WASH  ตัวใส่ๆ จะมองเห็นกลไกการทำงานชัดเจน ถ้าเสียให้เปลื่อนตัวใหม่หรือสวิทช์ SELECTOR ที่เลือกระบบการซักที่จะให้หมุนทางเดียวหรือสองทาง ถ้า SELECTOR เสียซึ่งเป็นทางผ่านของไฟฟ้า ทำให้ไฟไม่สามารถผ่านหน้าสัมผัสของสวิทช์ได้ ทำให้มอเตอร์ไม่หมุน
 1.3 คอนเดนเซอร์สตาร์ท เสีย ทำให้มอเตอร์ไม่สามารถออดตัวหมุนได้เวลาเปิดเครื่องให้ทดลองใช้มือหมุนแกนมอเตอร์ ถ้ามอเตอร์หมุนต่อไปได้แสดงคอนเดนเซอร์ เสีย หรือถอดคอนเดนเซอร์ มาวัดก็ได้
 1.4 มอเตอร์ชอร์ต ไหม้ ให้ทอลองต่อมอเตอร์ตรงก็ได้ ถ้าต่อแล้วมอเตอร์ไม่หมุน แสดงว่ามอเตอร์ ให้ถอนตัวมดเตอร์ไปพันใหม่
( 2 ) อาการมอเตอร์ถังซัก หมุนช้า ไส่ผ้ามากไม่หมุน บางครั้งหมุนบ้างไม่หมุนบ้าง
  2.1 มอเตอร์ไม่มีกำลัง ทดลองเปิดเครื่อง ใช้มือจับแกนปั่นผ้า มอเตอร์ หยุดหมุน ลักษณะไม่มีกำลัง แสดงว่ามอเตอร์ชอร์รอบ ให้ถอดไปพันขดลวดใหม่
  2.2 บูทสึก ทดลองหมุนแกนปั่นผ้าดู ถ้ารู้สึกหมุนฝืดๆ แสดงว่าบูทสึกให้ถอดมอเตอร์ออกมาเปลื่อนบูทตัวใหม่ พร้อมหยอดน้ำมัน
 ( 3 ) อาการซักผ้ามีเสียงเสียดสี มีน้ำรั่วลงด้านล่างของถังซัก
  3.1 ซีลบูทกันน้ำสึก ต้องเปลื่อนซีลใหม่ โดยต้องถอดตัวมอเตอร์ออกด้วย  ถึงจะเปลื่อนซิลตัวใหม่ได้
 ( 4 ) อาการได้ยินเสียงมอเตอร์หมุน แต่แกนปั่นผ้าไม่หมุน
  4.1  สายพานขาด สายพานหลุม
  4.2  พูดเส่ใส่สายพานแตก หัก
 ( 5 )  อาการถังปั่นผ้าไม่หมุน ถังซักผ้าใช้ได้ปกติ
   5.1 สายไฟขาด หมูกัดสาย ต่อสายให้ถูกสี
   5.2 สวิทช์เซฟตี้ SW 1 สกปรก ขาด หัก ให้ทำความสะอาด
   5.3 สวิทช์ TIMER SPIN เสียกดไกเฟืยงไม่ทำงานไม่ได้ยินเสียง
เฟืยงและ กลไกต่างๆ ทำงาน ถ้าเป็นสวิทช์ตัวใส่ๆ จะมองเห็นกลไกและหน้าสัมผัสของสวิทช์ไม่แตะ แสดงว่าเสีย
   5.4 ดอนเดนเซอร์สตาร์ท  เสีย ทำให้มอเตอร์ออกตัวหมุนไม่ได้ ให้ถอดคอนเดนเซอร์ ออกมาวัด
   5.5 มอเตอร์ชอร์ตรอบ ไหม้ ทดลองต่อมอเตอร์ตรงดูถ้าไม่หมุน แสดงว่ามอเตอร์ตรอบ ไหม้
   5.6 มอเตอร์บูทติด จับถังหมุนไม่หมุนเลย ฝืดมากไม่ได้ใช้มานานเกิดสนิม สาเหตุมอเตอร์บูทฝืด เกิดจากซีลกันน้ำสึก หลาม ทำให้น้ำรั่วไส่ที่ตัวมอเตอร์ ทำให้ขดลวดชอร์ต ต้องพันมอเตอร์ใหม่
 (ุ 6 ) อาการเวลาปั่นแห้งมีเสียงบูทดัง
   6.1 ให้ถอดมอเตอร์มาเปลื่อนบูท
   6.2 ซีลบูทกันน้ำสึก ทำให้มีน้ำชึมลงมาโดนตัวมอเตอร์
   6.3 สายเบรกล๊อก หลุด ทำให้ไปเสียดสีแกน ทำให้เกิดเสียงดัง
  ( 7 ) อาการมอเตอร์ถังปั่นแห้ง หมุนช้า ไม่มีกำลัง
   7.1 มอเตอร์น้ำรั่วไส่ เกินสมีน
   7.2 บูทฝืดเนื่องจากโดนน้ำรั่วใส่
   7.3 มอเตอร์ชอร์ตรอบทำให้หมุนช้าไม่มีกำลัง
  ( 8 ) อาการถังซักน้ำรั่ว เก็บน้ำไม่อยู่
   8.1 ลูกยางมีเศษผงติดค้าง ถอดมาทำความสะอาด
   8.2 ลูกยางแข็งปิดน้ำไม่อยู่ ต้องเปลื่อนลูกยางใหม่
   8.3 ไม่มีกำลังกดลูกยาง เปลื่อนสปริงใหม่
  ( 9 )  อาการเครื่องซักผ้าสั่น
   9.1 ให้สังเกตดูว่า สั่นเกิดจากส่วนใดของเครื่อง
   9.2 สั่นเกิดจากมอเตอร์ไม่แน่น
   9.3 สั่นเกิดจากตัวถังยึดไม่แน่น
หมายเหตุ
 1. ถ้าจะซื้ออะไหล่เครื่องซักผ้า ต้องจดยี่ห้อ รุ่น พร้อมนำตัวอย่างอะไหล่ไปด้วยทุกครั้ง
 2. บูทมอเตอร์      ตัวละประมาณ      25   บาท
 3. สวิทช์ถังซัก                                 300 - 600
 4. สวิทช์ปั่นแห้ง                               300 - 600
 5. ลูกยางกันน้ำรั่ว                             80 - 100 
 6. พันมอเตอร์ใหม่                            250 - 350

วิทยุเทป

วิทยุเทปเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการใช้งาน 2 ส่วน คือ 1. ส่วนของเทปคลาสเซ็ท
              2. ส่วนของวิทยุ ซึ่งมีวิทยา AM และ  FM

การใช้งานของวิทยุเทป แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
  1. ส่วนของคลาสเซ็ท เมื่อใส่ม้วยเทปช่องของเทป แล้วกด PLAY และ แปลงเป็นสัญญาณจากม้วนเทป ซึ่งบันทึกไว้ในรูปขแงแม่เหล็กโดยผ่านหัวเทป และ แปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า ผ่านวงจรปรีเทปทำหน้าที่ขยายสัญญาณ แล้วผ่านสวิทช์เลือกตำแหน่งของเทป สัญญาณจะถูกส่งเข้าวงจรปรีแอมป์ปรับเสียงทุ้มแหลม ให้ได้ตามต้องการ ก่อนส่งเข้าภาคขยายเสียง ขยายออกกำลังโพงเป็นเสียงเพลง
 2.  ส่วนของวิทยุ AM เมื่อปรับสวิทช์ S1 ไปที่ตำแหน่งวิทยุ AM สัญญาณวิทยุ AM จะถูกเลือกโดยการหนุนคลื่อหาสถานี้ ขยายสัญญาณส่งเข้าภาคปรีแอมป์ ปรับเสียงทุ้มแหลมตามต้องการ ก่อนส่งเข้าภาคขยายเสียง ขยายออกกำลังโพง
3. ส่วนของวิทยุ FM เมื่อปรับสวิทช์ S1 ไปที่ตำแหน่งวิทยุ FMสัญญาณวิทยุ FM จะถูกเลือกโดยหมุนคลื่อหาสถานี้ และขยายสัญญาณส่งเข้าภาคปรีแอมป์ ปรับเสียง ทุ้มแหลมตามต้องการ ก่อนส่งเข้าภาคขยายเสียง ขยายเสียงออกลำโพง

อาการเสียของวิทยุเทป 
 1. ทดลองเปิดเทป เทปเสียงยืด ยาม แต่เปิดวิทยุ AM FM ได้ปกติ แสดงว่าเสียในส่วนของเทปคลาสเซ็ท
 2. ทดลองเปิดเทป เทปเสียงปกติ แต่เปิดวิทยุ AM รับไม่ได้ เปิดวิทยุ FM รับฟังได้ปกติแสดงว่าเสียในส่วนของวิทยุ AM 
 3. ทดลองเปิดเทป เทปเสียงปกติ แต่เปิดวิทยุ FM รับไม่ได้ เปิดวิทยุ AM รับไท่ได้ปกติ แสดงว่าเสียในส่วนของวิทยุ FM 
 4. ทดลองเปิดเทป เปิดวิทยุ FM  AM เสียงเงียบ ไม่มีเสียงดังออกลำโพงแสดงว่าไฟไม่เข้าเครื่องภาคจ่ายไฟเสีย สายปลั๊กไฟ AC ขาด
 5. ทดลองเปิดเทป เปิดวิทยุ FM AM เสียงเงียบ ไม่มีเสียงดังออกลำโพง มีหลอกไฟแสดงการทำงานติดสว่าง แสดงว่าภาคขยายเสียงอาจจะเสีย










ไดร์เป่าผม เครื่องเป่าลมร้อน

ไดร์เป่าผม เป็นเครื่องไฟฟ้าที่ใช้เป่าาลมร้อน หรือลมเย็นเพื่อใช้ในการไดร์ทรงผมให้เรียบและสวยงาม.
.
.
.

หลักการทำงาน
ไดร์เป่าผมมีส่วนของการทำงาน 2 ส่วน คือ
1. ส่วนของมอเตอร์พัดลม เมื่อเสียบปลั๊กไฟAC 220 V 50 Hz
ผ่าน SW 1 เมื่อกดสวิทช์ SW 1 ON ไฟไหลผ่านขดลวดส่วนที่อยู่กับที่ L 1 ผ่านแปรงถ่าน Aไหลผ่านเข้าขดลวดส่วนที่เครื่องที่ L 2  ไหลผ่านแปรงถ่าน B ออกไปยังขั้ว 
ปลั๊กไฟ AC ครบวงจรทำให้เกิดการหมุนของแกนขดลวด ซึ่งติดใบพัดลม ทำให้เกิด การเป่าลมออกทางด้านหน้าของไดร์เป่าผม
2. ส่วนของขดลวดให้ความร้อน
เมื่อกดสวิทช์ SW2 ON ไฟไหลผ่านขดลวด L1 ขดลวดนิโครม พันขดอยู่บนฉนวนทนความร้อน เช่น แผ่นไมก้าแข็ง ไฟฟ้าไหลออกอีกทางหนึ่งเข้าสายปลั๊กครบรอบของไฟฟ้า ทำให้ขดลวดร้อนแดง และเกิดความร้อน ถูกลมจากการหมุนของมอเตอร์ พัดพานำความร้อนออกมาและใช้ในการเป่าไดร์เส้นผม
ข้อควรจำ
มอเตอร์ที่ใช้แปรงถ่าน จะเป็นมอเตอร์ที่ทีความเร็วรอบสูงมาก และถ้ามอเตอร์ใช้ขดลวดเส้นใหญ่ขดลวดเส้นใหญ่กินกระแสมาก แรงบิดสูงมาก เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้แปรงถ่าน เช่นเดียวกับไดร์เป่าผมและมอเตอร์เป็นลักษณะเดียวกัน คือ
1. เครื่องปั่นน้ำผลไม้
2. สว่านไฟฟ้า
3. สว่านกระแทก
4. กบไฟฟ้า
5. หินเจียรเหล็ก
6. เครื่องตัดเหล็ก
7. เครื่องดูดฝุ่น
8. เครื่องเป่าลม เป่าผง
9. เลื่อยวงเดืยนไฟฟ้า
10.มอเตอร์ในช่างที่ต้องใช้แรงบิดสูงๆ
อาการเสียของไดร์เป่าผม
1.   อาการไดร์ไม่ทำงาน ไม่หมุน เงียบ
      1.1  สายไฟขาด เกิดจากการใช้งานบ่อย ดึงไปดึงมาทำให้สายชอร์ตสายขาดบ่อย
      1.2  สวิทช์ SW 1 ขาด ทำให้ไฟไหม้ไม่ไหลผ่าน เข้าเครื่อง
2.   อาการไดร์หมุนไม่สะดวก หมุนบ้างไม่หมุนบ้าง มีเสียงบูทดังผิดปกติ
      2.1  แปรงถ่านหมด ต้องเปลื่อนใหม่ ใช้แปรงถ่านที่ดี มีคุณภาพจะทำให้มีความทนทาน
      2.2  บูทสึกต้องเปลื่อนบูทใหม่ หยอดน้ำมัน
      2.3   ขั้วสายที่แปรงถ่านกดบนขั้นที่แกนหมุน สกปรก ให้ทำความสะอาด
3.  .อาการร้อนแต่มอเตอร์พัดลมไม่หมุน
      3.1  สวิทช์พัดลมขาด สายไฟสวิทช์ขาด
      3.2  แปรงถ่านพัดลมหมด
      3.3  บูทฝึด ติดขัด
4.   อาการมอเตอร์พัดลมหมุนมีลมออก แต่ไม่ร้อน
      4.1  สวิทช์ขดลวด SW 2ขาด สายไฟสวิทช์ขาด
      4.2  ขดลวดนิโครม L4 ขาด ต้องเปลื่อน หรือต่อในส่วนที่ขาด
5.   อาการมอเตอร์หมุนแต่มีเสียงบูทดังและสั่น
      5.1  อาการนี้เกิดจากบูทสึก ขาดการหยอดน้ำหล่อลื่น ต้องเปลี่ยนบูทใหม่ 
ข้อแนะนำ  สำหรับไดร์เป่าผมใช้งานตามร้านเสริมสวย ร้านแต่งผม ร้านสอนเกีายวกับทำผม หากต้องการให้ไดร์มีความทนทาน ในการใช้งาน ไม่เสียง่ายต้องหยอดน้ำมันหล่อลื่นที่บูท 1เดือน-ครั้ง
 

เครื่องปั่นน้ำผลไม้

เครื่องปั่นน้ำผลไม้ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวก ในการปรุงอาหารเครื่องดื่น มีหลักการทำงาน เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ คือ  มีแปรงถ่านในวงจรเครื่องปั่นน้ำผลไม้มีขนานเล็ก มดเตอร์ใช้ลวดเส้นเล็ก กำลังในการหมุนก็น้อย ขึ้นอยู่กับขนานของเครื่องใช้แต่ละชนิด หลังการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีแปรงถ่านมีดังนี้
1.สว่างไฟฟ้า
2.กบไฟฟ้า
3.หินเจียรเหล็ก
4.เครื่องดูดฝุน
5.เครื่องเป่าลม
6.เลือยวงเดือนไฟฟ้า
7.สว่านเจาะกระแทก
เครื่องใช้ไฟฟ้าดังกล่าว มีแปรงถ่าน ในการทำให้มอเตอร์ออกตัวหมุน ใช้ลวดเส้นใหญ่ในการพันมอเตอร์แรงบิด แรงหมุนจึงมาก ใช้เจาะแผ่นเหล็กหนาๆ ตัดเหล็กหนา เจียร ตัดไม้ เป่าลม ดูดเศษผงฝุ่น
วงจรเครื่องปั่นน้ำผลไม้.
.
.
.

อาการเสียเครื่องปั่นน้ำผลไม้และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีแปรงถ่าน
1.  อาการไม่หมุน ไม่ทำงาน เงียบ
     1.1  สายปลั๊กไฟ ขาด
     1.2  สวิทช์เปิดเครื่อง ขาด
2.   อาการเคีื่องหมุนไม่สะดวก กึกๆ กักๆ
     2.1   แปรงถ่านสึกหมด ต้องเปลื่อนแปรงถ่านใหม่ เวลาเปลื่อนให้เปลื่อนเป็นคู่ ใช้แปรงดีๆ เนื้อถ่านแน่น
       2.2   บูทสึกหรอ เวลาเคื่องทำงานจะมีเสียปกติถ้าเป็นบูททองเหลืองให้เปลี่ยนใหม่ ถ้าเป็นบูทที่เป็นลูกปืนเปลี่ยนลูกปืนใหม่
     2.3   ถ้าบูทฝืดให้ทำความสะอาด หยอดน้ำมันหล่อลื่น
3.  อาการ ขดลวดมอเตอร์ไหม้ เครื่องไม่หมุน
     3.1ขดลวดมอเตอร์ไหม้จะพบน้อยมาก ส่วนมากขดลวดจะไหม้เนื่องจากบูทติด ลูกปืนแตกอล้วเปิดเครื่องทิ้งไว้นานๆ
โดยไม่ทราบว่าบูกฝืด ลูกปืนแตก จนทำให้ขดลวดไหม้ ปกติจะพบน้อยมาก

กระทะไฟฟ้า

กระทะไฟฟ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกประเภทหนึ่งที่ให้ความร้อน 
แต่ใช้สำหรับเป็นภาชนะประกอบอาหารในห้องครัว ร้านหมูจุ่ม 
ร้านแจ่วฮ้อน ร้านสุกี้

  วงจรกระทะไฟฟ้า
.
.



หลังการทำงานของกระทะไฟฟ้า
เมื่อเสียบปลั๊กไฟของกระทะไฟฟ้า เข้ากับปลั๊กไฟ แล้วกดสวิทช์ไฟที่สายปลั๊ก หรือปรับสวิทช์เทอร์โนสตาร์ทสำหรับกระทะรุ่นที่มีระบบตัตไฟจะทำงานให้ไฟฟ้า ไหลเข้าแผ่นความร้อน ทำให้ตัวกะทะร้อน ใช้ความร้อนในการปรุงอาหาร
     อาการเสียของกระทะไฟฟ้า 
     1. อาการกระทะไม่ร้อน
         1.1  ตรวจเช็คสายไฟฟ้า ขาด
         1.2  ตรวจแผ่นความร้อน ขาด
  ถ้าแผ่นขาด กระทะรุ่นที่แผ่นความร้อนฝังในตัวกระทะจะซ่อมไม่ได้
         1.3  หน้่าสัมผัสของสวิทช์เทอร์ทสกปรก ไม่แตะหรือขาดให้ทำทำความสะอาดหน้าสัมผัส

ข้อแนะนำในการตรวจซ่อม
ถ้าแผ่นขาดให้บอกลูกค้าว่า แผ่นขาดจะซ่อมไม่คุ้มค่า ให้ซื้อใหม้่ เลืยกรุ่นที่มีระบบตัดไฟฟ้า เวลาร้อนมากๆ จะมีสวิทช์เทอร์โมสตาร์ท ตัดวงจร ไฟฟ้า ป้องกันแผ่นความร้อนขาด จะเป็นรุ่นที่มีปุ่มปรับความร้อนได้ ดังรูป
.
.



เตารีดไฟฟ้า

       เตารีดไฟฟ้า นับเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ต้องมีใช้งานทุกบ้าน
 ทุกหลังคาเรือน เป็นเครื่องไฟฟ้าที่ใช้รีดเสื้อผ้า เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทให้ความร้อนและนำความร้อนที่ได้มาใช้ในการรีดผ้า


หลักการทำงานชองเตารีดไฟฟ้า
เมื่อเสียบปลั๊กไฟฟ้าเช้ากับปลั๊กไฟฟ้าที่เต้าเสียบ แล้วหมุนตัวปรับระดับความร้อนไปทาง ทิศทางตามเข็มนาฬิกาไฟแสดงการทำงาน ของเครื่องเตารีดไฟฟ้าติดสว่าง แสดงว่าไฟฟ้าไหลผ่่านหน้าสัมผัส 
ของสวิทช์เทอร์โมสตาร์ท ผ่านเข้าแผ่นความร้อนไหลออกอีกขาหนึ่งของแผ่นความร้อนผ่านสายปลั๊กไฟฟ้าอีกเส้นหนึ่ง ครบรอบไฟฟ้า ทำให้แผ่นความร้อน มีความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่องๆ ความร้อนส่วยหนึ่งจะไหลเข้าขั้วไฟ ของชุกสวิทช์เทอร์
โมสตาร์ท ในขณะที่แผ่นความร้อนร้อนขึ้นตลอดเวลา ความร้อนบางส่วนถูกถ่ายเทเขาไปที่เสื้อผ้า ที่กำลังรีดอยู๋ตลอดเวลา และขณะที่กำลังรีดผ้า ความร้อนที่ผ่านความร้อนก็ร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 
และที่ตัวสวิทช์เทอร์โมสตาร์ทก็จะร้อนชึ้นเรื่อยๆ คุณสมบัติของสวิทช์เทอร์โมสตาร์ทมีหลักการทำงาน คือ ใช้โลหะ2ชนิด เป็นหน้าส้มผัสกัน โลหะ ด้านหนึ่งเมื่อได้รับความร้อน จะเกิดการขายตัวและโก่งตัวออก โลหะอีกด้านหนึ่งเมื่อได้รับความร้อนจะไม่ขยายตัวแต่อย่างใด จึงนำหลักการนี้มาใช้เป็นสวิทช์ตัดไฟในวงจรเตารีดไฟฟ้ากล่อวคือ เมื่อเตารีดไฟฟ้ามรความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สวิทช์เทอร์โมสตาร์ท ได้รับความร้อนด้วย และเมื่อโหละสวิทฃ์โมสตาร์ท
ได้รับความร้อนถึงจุดหนึ่ง จะเกิดการขยายตัวและโก่งตัวออก ทำให้หน้าสัมผัสสวิทช์จากออก ( การโก่งตัวของสวิทช์ เกิดจากการออกแบบสวิทช์เทอร์โมสตาร์ท ให้มีลักษณะโค้งงอเมื่อเกิดการขยายตัว จะโก่งตัวออกจากกัน ) 
   เมื่อหน้าสัมผัสสวิทช์เทอร์โมสตาร์ทจากออก ทำให้ไฟฟ้าหยุดไหล เข้าแผ่นความร้อน หลอดไฟฟ้าที่เคยติดก็สว่างก็ดับด้วย แผ่นความร้อน ความร้อนลดลงเนื่องจากเรารีบผ้าอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ผ่านความร้อนความร้อนลดลง สวิทข์เทอร์โมสตาร์ ทก็ความร้อนลดลงด้วย  ทำให้โลหะที่เกิดการขยายตัว หดตัวลงมาแตะกัน ทำให้ไฟฟ้าไหลผ่านแผ่นความร้อนอีกครั้งหนึ่ง การทำงานจะเป็นอย่างนี้ตลอดเวลา จนกว่าจะหยุดรีดผ้า

           อาการเสียเตารีดไฟฟ้า  
           ก่อนถอดสายเตารีดออกให้จอสายไฟ ว่าสายใดอยู่ตรงขาใด เพื่อไม่ให้เกิดการต่อสายผิดพลาด

1.อาการเตารีดไม่ร้อน เครื่องไม่ทำงานเลย ไฟไม่ติด
   1.1  เช็ค  สายไฟ  ขาด
   1.2  เข็ค  สวิทช์โมสตาร์ทไม่แตะ สวิทช์ขาด หน้าสัมผัส สวิทช์โมสตาร์ทสกปรก
2. อาการเตารีดไม่ร้อน ไฟติดปกติ
    2.1  เช็ค แผ่นขาด
3. อาการเตารีดร้อนน้อย รีดผ้าไม่เรียบ
    3.1  เช็คหน้าสัมผัสของสวิทช์เทอร์โมสตาร์ทสกปรก
    3.2  ระยะหน้าสัมผัสของสวิทช์เทอร์โมสตร์ทเริ่มห่าง เนื่องจากเกิดการสกปรก สึกหรอ ขัดทำความสะอาดบ่อยครั้ง ทำให้ระยะหน้าสัมผัสห่างเกินไป
    3.3  ปรับระยะหน้าสัมผัสของสวิทช์โมสตาร์ทให้มีแรงกดมากขึ้นเพื่อใช้เวลาในการตัดวงจรนานขึ้น การปรับระยะเป็นการเพิ่มแรงบีบหน้าสัมผัสให้มากขึ้น ใช้ความร้อนมากขึ้น ระยะเวลานานขึ้นจึงจะตัดวงจร
4. ร้อนมากเกินไป ทำให้ผ้าไฟม้
    4.4  หน้าส้มผัสสวิทช์เทอร์โมสตาร์ท เกิดการติดกัน ทำให้ไม่ตัดวงจร
     4.2  เกิดสเก็ดบริเวณหน้าสัมผัสทำให้หน้าสัมผัส แตะกันตลอดเวลา ให้ใช้กระดาษทรายละเอียดขัดหน้าสัมผัส
   4.3  ระยะหน้าสัมผัสตั้งมากเกินไป ให้คลายน๊อตออกเพื่อให้หน้าสัมผัสหางขึ้น และให้พอดี
5. บริเวณที่รีดผ้าสกปรก มีผ้าละลายติด สิ่งสกปรกเกราะติด
    5.1  ใช้สก๊อตไบท์ขัดทำความสะอาดให้เรียบ ขัดเบาๆ 
6.  ร้อนปกติ หลอนไฟไม่ติด
     6.1  หลอดไฟเสีย R ดร็อปไฟของหลอนขาด ขาหลอนขาด
7.  เสียบปลั๊กเตารีด ฟิวร์บ้านขาดทันที
     7.1  สายไฟของเตารีด ชอร์ต เปลื่อนเส้นใหม่
     7.2  ขั้วต่อสายไฟชอร์ต
    

















วิธีการวัดทรานซิเตอร์


  1. การวัดทรานซิสเตอร์ ชนิด NPN
การหาขา B ตั้งมิเตอร์ x 10 นำสายกำของมิเตอร์ ( ไฟบอก ) ไปจับไว้ที่ขาใดขาหนึ่งของทรายซิสเตอร์ แล้วนำสายแดงของมิเตอร์ (ไฟลบ)
ไปแตะขาทรานซิสเตอร์ที่เหลือทีละขา เข็มมิเตอร์ ชึ้นเท่ากัน 2 ขา
(  โฮห์มต่ำ 50+100โอม ) แสดงว่าสายกำของมิเตอร์ที่จับขาทรานซิสเตอร์อยู่ยั้ยเป็นขา B
การหาขา C ตั้งมิเตอร์ที่ x 10K แล้วปรับซีโร่ให้ได้ เป็น0 นำสายดำของมิเตอร์ (ไฟบวก) ไปจับขาอื่น ที่ไม่ใช่ขาเหลือที่ไม่ใช่ขา B 
เข็มมิเตอร์ไม่ขึ้น นำนิวมือทริกขาที่มีสายดำจับอยู่กับขา B เข็มมิเตอร์
ขึ้นมาก ( โฮห์มต่ำ มาก10- 30 Kโอม ) แสดงว่าขาทรานซิสเตอร์ที่มีสายดำของมิเตอร์จับอยู่เป็นขา C
การหาขา E ตั้งมิเตอร์  X 10K นำสายดำของซิเตอร์ ( ไฟบวก )
ไปจับขาที่เหลือที่ไม่ใช่ไม่ใช่ขา B และC นำสายแดงของมิเตอร์ 
(ไฟลบ) ไปจับไว้ที่ชา Cเข็มมิเตอร์ขึ้นเล็กน้อยมีสายดำชองมิเตอร์จับอยู่กับขา B เข็มมิเตอร์อีกเล็กน้อย แสดงว่าสายดำที่จับอยู่เป็นชา E


2.การวัดทรานซิสเตอร์ ชนิดPNP วิธีการวัดเหมือนๆกันกับชนิด NP์N
ต่างกันตรงสายวัดของมิเตอร์ วัดชนิด NPN ใช้สายดำเป็นหลักแต่ชนิด PNP ใช้สายแดงเป็นหลักการวัดทรานซิลเตอร์ นอกเหลือจากนี้ จะถือว่าทรานซิลเตอร์เสียหรือชำรุด
ลักษณะชองทรานซิสเตอร์ที่เสีย
1.ขาด ปกติวัดต้องขึ้น แต่วัดแล้วไม่ขึ้น
2.รั่ว วัดแล้วปกติต้องไม่ขึ้น วัดแล้วขึ้นนิดหน่อย
3.ซอร์ต วัดแล้วความด้านทานเป็น 0โอม (เข้มขึ้นสูงสุด )

3.ไอซี เป็นวงจรสำเร็จซึ่งอยู่ภายในตัวเดียวกัน ภายในตัวไอซีจะมีทรานซิลเตอร์ ไดโอด และ รีซิสเตอร์ อยู่เป็นจำนวนมาก แล้วแต่ชนิดของไอซีว่าทำหน้าที่ด้านใดการเสียหรือชำรุดจึงไม่สามารถตรวจสอบโดยการวัดได้ ต้องอาศัยประสบการณ์ หรือการเปรียบเทียบในการวัดไฟตามขาต่างๆบ้าง
ไอซีเสีย 
1.เสียโดยวัดไฟแล้วไม่ออกตามขา ปกติควรมี
2.เสียดดยชำรุด ไหม้ แคก ร้าว ขาหัก ขาขาด
3.เสียโดยเสื่อม ต้องอาศัยการวัดอุปกรณ์ที่ร่วมที่อยู่รอบๆตัวไอซี

4.ไดโอด (DIODE) ไดโอดมีมากมายหลายชนิด ที่ควรทราบและมีใช้ในวงจรเป็นส่วนมาก คือ ไอโอดเร็กติฟาน ซีเนอร์ไดโอด ไดโอดมีทั้งที่ทำจากสารซลิกอน และ เจอร์มาเนียม การใช้งานจึงต่ายหน้าที่กันออกไป 
       4.1ไดโอดเร็กติฟาย  ทำจากสารซิลิกอน ใช้ทำหน้าที่แปลงไฟจากเอซีโวลท์ต่ำ เป็นไฟดีซีโวลท์ต่ำ
วิธีวีดไดโอด ตั้งมิเตอร์ X  10k วัดสลับขาทั้งสองข้างเข็มมิเตอร์ขึ้นข้างไม่ขึ้นข้าง ถือว่าดี
อาการชำรุดไดโอด
1.วัดแล้วไม่ขึ้นทั้ง2ข้าง แสดงว่า ขาด
2.วัดแล้วขึ้นทั้ง 2ข้าง แสดงว่าชอร์ต
3.วัดแล้วข้างหนึ่งขึ่นมาก อีกข้างหนึ่งขึ้นน้อยแสดงว่ารั่ว
4.เสียจากการมองเห็น แตก.ไหม้
่     4.2ซีเนอร์ไอโอด ใช้ทำหน้าที่ควบคุมไฟให้คงที่ ตัวย่อ ZD
วิธีวัดซีเนอร์ไดโอด ตั้งมิเตอร์ X 10K วัดสลับขา ขึ้นข้างไม่ขึ้นข้างหรือขึ้นข้าง อีกข้างขึ้นนิดหน่อย ประมาณ 50 K โอม ถือว่าดี

5.รีซิสเตอร์ (RESISTOR) เป็นตัวต้านทานไฟฟ้าใช้เพื่อนลดแรงดันไฟฟ้า และกะแสไฟฟ้าในวงจร มีมากมายหลายชนิด
การอ่านค่ารีซิสเตอร์
0        ดำ            ส้ม ดำ ดำ
1        น้ำตาล     3 0 0
2        แดง          ส้ม แดง แดง
3        ส้ม            3 2 2
4        เหลือง      
5        เขียว         แดง ส้ม ส้ม
6        น้ำเงิน       2       3 3
7        ม่วง
8        เทา           ค่าสีตัว 3 เป็นจำนวน 0
9        ขาว           9
การวัดรีซิสเตอร์ จำเป็นต้องทราบค่ารีซิสเตอร์จากการอ่านค่าสีก่อนและเมื่อทำการวัดด้วยมิเตอร์จะได้ค่าตรงกับค่าสี หากไม่ได้ตามนั้น แสดงว่าเสีย
อาการเสียขอวรีซิสเตอร์
1. ขาด    วัดแล้วไม่ขึ้น ( เฉพราะรีซิสเตอร์ค่าน้อยๆ )
2. ยึดค่า  วัดแล้วได้ค่ามากกว่าแถบค่าสี
3. ไหม้    แตก หัก
4.ชอร์ต   เกิดได้น้อยมาก

6. คาปาซิเตอร์ คือตัวเก็บประจุไฟฟ้า มีมากมายหลายชนิดแยกเป็นชนิดมีขั้ว และไม่มีขั้ว
การตั้งมิเตอร์เพื่อวัดค่า C นั้น ถ้าเป็นC ค่าน้อยต้องตั้งมิเตอร์ x k สู้ 
ท้าเป็น C ค่ามากขึ้น ลดมิเตอร์ลงตามความเหมาะสม โดยวัดสลับขาหลายๆครั้ง เข็มมิเตอร์ขึ้นแล้วลงเป็น 0 ทุกครั้ง ถือว่าดี
อาการเสียของ C 
1. ขาด       วัดแล้วไม่ขึ้นทั้ง 2 ข้าง
2. ซึม         วัดแล้วเข็มค้างน้อยมาก ( เสื่อม )
3. รั่ว           วัดสลับขาแล้วเข็มลงไม่เป็น 2 โอม
4.ชอร์ต       วัดแล้วขึ้นค้างทั้ง 2 ข้าง




1.ไดโอด ( dicde ) 
การต่อไดโอดเร็กติฟายแบบต่างๆ เพื่อแปลงไฟกระแสสลับเป็นไฟตรง
หม้อแปลงไฟฟ้า ทำหน้าที่แปลงไฟกระแสสลับ จาก 220 โวลท์
เอซี เป็นไฟกระแสสลับโวลท์ต่ำ ขึ้นอยู่กับจำนวนที่พัน
(1) จำนวนรอยที่พันมากรอบโวลท์ก็สูง
(2) เส้นลวดที่ใช้พันทางไฟออก ทางโวลท์แรงต่ำเส้นลวดเล็กกระแสต่ำ เส้นลวดเส้นใหญ่
-เบอร์ของลวดทองแดง เลขน้อย เส้นใหญ่
-เบอร์ชองลวดทองแดง เลขมาก เส้นเล็ก
1.วงจรเร็กติฟายแบบครึ่งคลื่น หรือ ฮอล์ฟเวฟเร็กติฟาย ( HALT WAVE REOTITIER ) 
2.วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่อ หรือ ฟูลเวฟเร็กติฟาย (FULLWAVE REOTITIER ) 
3. วงจรเรียงกระแสแบบบริดส์ หรือ บริดส์เร็กติฟาย ( BRIDGE RECTITIER ) 
4การต่อวงจรเรียงกระแสที่ใช้เป็นไฟเสี้ยงวงจรเครื่องขยายเสียง แบบ ocl ซึ่งเป็น + -

2ซีเนอร์ไดโอด ( ZENER DIODE )
ซีเนอร์ไดโอดเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เพื่อคุมแรงดันไฟฟ้าให้คงที่

วิชาฃ่างซ่อมทีวีและเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไฟ

  การฝึกอาชีพช่างช่อมวิทยุ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆนั้น จำเป็นต้องมีใจรักเมื่อตัวเราเลือกเรียนวิชาอิเล็กทรอนิกส์ ก็ต้องรักวิชาอิเล็กทรอนิกส์ และ เอาใจใส่ให้มาก ตัวเราจะบอกว่าไม่ชอบวิชาอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้แล้ว ในเมื่อเลือกเรียนแล้วก็ควรตั้งใจมุ่งหาความรู้ใส่ตัว และ ต้องรู้จริง สนใจจริง ตั้งใจจริง ไม่มีอะไรยากหากเราตั้งใจโดยมีหลัก 2 ประการที่จะสามารถเป็นช่างอิเล็กทรอนิกส์
  1. ความอดทนก็เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้เรียนอิเล็กทรอนิกส์  เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ในแต่ละสื่งแต่ละอย่างนั้นมีอุปกรณ์เป็นจำนวนมาก การจะตรวจซ่อมให้เครื่องที่ชำรุดใช้งานได้ดังเดิมก็จะต้องตั้งใจวิเคราะห์ ตรวจสอบนำความรู้จากการเรียนมาวิเคราะห์ปัญหาก่อนเมื่อวิเคราะห์แล้วว่าเกิดจากภาคใด ส่วนใดก็ลงมือตรวจซ่อมจะทำให้สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยความรวดเร็ว
  2. ความใจเย็น การซ่อมเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์        หากขาดซึ่งการควบคุมอารมณ์แล้ว ไม่สามารถซ่อมได้สำเร็จ อารมณ์เราสามารถควบคุมได้ เรารู้ว่าทีวีเครื่องที่กำลังจะซ่อมเสีย แต่เดิมทีวีเครื่องนี้ใช้ได้เป็นปกติต่อมาไม่สามารภใช้งานได้แสดงว่าต้อมมีอุปกรณ์ชำรุดแน่นอน การวิเคราะห์อาการเสียก่อนซ่อมที่ถูกต้องและความมีใจเย็น ค่อยๆถอดอุปกรณ์ออกมาวัด ทีละตัวๆ นั้นจะทำให้สามารถซ่อมเครื่องได้ในเวลารวดเร็ว 
ดังนั้นจึงชอให้ผู้เช้ารับการฝึกทักษะมีความตั้งใจและสนใจอย่างจริงจัง
เทคนิคการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า
  ในปัจจุปันเครื่องใช้ไฟฟ้ามีเป็นจำนวนมาก การซ่อมบำรุงเครื่องใช้ไฟฟ้าจึงมีมากตามไปด้วย
      การจะซ่อมเครื่องใข้ไฟฟ้าทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ จำเป็นต้องจะต้องทราบอุปกรณฺทางด้านอิเล็กทรอนิกส์    และวิธีการวัด  
จึงจะสามารถซ่อมได้ อุปกรณ์หลังๆ ที่มีในวงจรอิเล็กทรอนิกส์
เช่น ทรานซิสเตอร์ วงจรไอซี ไดโอด ซีเนอร์ ไอโอด คาปาซิเตอร์ รีซิสเตอร์  อุปกรณ์เหล่านี้เป็นอุปกรณ์หลักที่ต้องมีในวงจรเสมอ
หากเราทราบชนิดและอุปกรณ์และวิธีการวัดที่ถูกต้อง ก็จะสามารถซ่อมเครื่องที่ชำรุดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากอุปกรณ์หลักดังกล่อวแล้ว
ก็ยังมีอุกรณ์ชนิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย เช่น
-หลอก LED
-MOSFET
-UJT
-TRIAC
-SCR
-RELAY



ขับเคลื่อนโดย Blogger.